เมื่อพระพุทธเจ้าปะทะเกรียน ตอนที่ 3




ต่อจากตอนที่แล้ว เมื่ออัมพัฎฐมาณพโดนย้อนกลับถึงต้นตระกูลของตน พวกมาณพที่เหลือต่างก็เข้ามาแก้ต่างกันพัลวัน จนพระพุทธเจ้าต้องตรัสปรามไว้ว่า
“มาณพ ถ้าพวกเธอคิดว่า ‘อัมพัฏฐมาณพมีชาติตระกูลต่ำ ไม่ใช่ลูกผู้มีตระกูล ศึกษามาน้อย พูดไม่ไพเราะ โง่เขลา และไม่สามารถเจรจาโต้ตอบกับเราได้’ อัมพัฏฐมาณพจงหยุด พวกเธอจงเจรจาโต้ตอบกับเราแทน แต่หากพวกเธอคิดว่า ‘อัมพัฏฐมาณพมีชาติตระกูลดี เป็นลูกผู้มีตระกูล ศึกษามามาก พูดไพเราะ ฉลาด และสามารถเจรจาโต้ตอบกับท่านพระโคดมได้’ พวกเธอก็จงหยุด อัมพัฏฐมาณพก็จงเจรจาโต้ตอบกับเราต่อไป”
พวกมาณพต่างเห็นว่าอัมพัฏฐมาณพมีชาติตระกูลดี เป็นลูกผู้มีตระกูล ศึกษามามาก พูดเพราะ ฉลาด และสามารถเจรจาโต้ตอบได้ จึงยอมเงียบลง ให้พระพุทธเจ้าได้สนทนากับอัมพัฏฐมาณพต่อ

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสกะอัมพัฏฐมาณพว่า 
“อัมพัฏฐะปัญหาอันชอบธรรมข้อนี้ย่อมมาถึงเธอ เธอแม้ไม่ต้องการก็จะต้องตอบ ถ้าไม่ตอบ ขืนพูดกลบเกลื่อน นิ่งเสียหรือจากไปเสีย ศีรษะของเธอจะแตกเป็น 7 เสี่ยง ณ ที่นี้แหละ” 
“อัมพัฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร เธอเคยได้ฟังพวกพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์เล่ากันมาอย่างไร พวกกัณหายนะเกิดจากใครก่อน ใครคือบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ”
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามอย่างนี้ อัมพัฏฐมาณพกลับได้แต่อ้ำอึ้งนิ่งเฉย ไม่อาจตอบอะไรได้เลย จนพระพุทธเจ้าตรัสถามซ้ำอีกสองครั้งก็ได้แต่เงียบเหมือนเดิม เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสนั้นเป็นความจริง แม้สหายของตนที่มาด้วยจะไม่ทราบมาก่อนก็ตาม เมื่อเปรียบคำดูหมิ่นของตนกับข้อเท็จจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสแล้ว คำดูหมิ่นของตนช่างไร้เหตุผล ไม่มีความน่าเชื่อเลยแม้แต่น้อย นาทีนี้อัมพัฏฐมาณพที่พูดจาฉะฉานในตอนต้น กลับเงียบเป็นเป่าสากไปในทันที

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อัมพัฏฐะ เธอจงตอบเดี๋ยวนี้ เวลานี้ ไม่ใช่เวลาที่เธอจะนิ่งเฉย เพราะผู้ที่ถูกตถาคตถามปัญหาอันชอบธรรมถึง 3 ครั้งแต่ไม่ยอมตอบ ศีรษะของเขาจะแตกเป็น 7 เสี่ยง ณ ที่นี้แหละ”

แน่นอนว่า อัมพัฏฐมาณพก็ยังเงียบกริบดังเดิมต่อไปนั่นเอง

ขณะนั้น ยักษ์วชิรปาณีถือค้อนเหล็กใหญ่มีไฟลุกโชติช่วงยืนอยู่ในอากาศเบื้องบนอัมพัฏฐมาณพ คิดว่า   ‘หากอัมพัฏฐมาณพนี้ถูกพระผู้มีพระภาคตรัสถามปัญหาอันชอบธรรมถึง 3 ครั้ง แต่ไม่ยอมตอบ เราจะทุบศีรษะของเขาให้แตกเป็น 7 เสี่ยง ณ ที่นี้แหละ’ (คงจะเห็นว่าอัมพัฏฐมาณพเสียมารยาทต่อพระพุทธเจ้ากระมัง?) อัมพัฏฐมาณพเห็นเข้าก็ตกใจกลัวจนลนลานไปหาพระพุทธเจ้า ลืมคำถามไปสิ้นจนต้องขอให้พระพุทธเจ้าตรัสถามอีกครั้ง แล้วจึงยอมรับในที่สุดว่า
“ท่านพระโคดม  ข้าพเจ้าได้ฟังมาเหมือนกับที่ท่านพระโคดมตรัสนั่นแหละ  พวกกัณหายนะเกิดมาจากนายกัณหะนั้นก่อน  นายกัณหะ (ลูกของนางทิสาหญิงรับใช้ของพระเจ้าโอกกากราช) นั้นคือบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ”
 คำตอบนี้ทำเอาเพื่อนๆของอัมพัฏฐมาณพตะลึงกันไปตามๆกัน ต่างได้ส่งเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ว่า “ได้ทราบว่า อัมพัฏฐมาณพมีชาติตระกูลต่ำ ไม่ใช่ลูกผู้มีตระกูล เป็นลูกของหญิงรับใช้ของพวกศากยะ ได้ทราบว่าพวกศากยะเป็นโอรสของเจ้านายของอัมพัฏฐมาณพ พวกเราโจมตีท่านพระสมณโคดมผู้กล่าวถูกต้องด้วยความเข้าใจผิดแท้ๆ”

เรียกได้ว่างานนี้สำหรับนายอัมพัฏฐะ แทนที่จะเป็นฝ่ายทำลาย กลับกลายเป็นฝ่ายถูกทำลายไปเสียเอง หน้าแตกชนิดหมอไม่รับเย็บกันเลยทีเดียว

เหล่ามาณพเพื่อนของนายอัมพัฏฐะเมื่อทราบความจริงว่า นายอัมพัฏฐะมีต้นตระกูลเป็นคนรับใช้ ทำให้หันมาดูแคลนนายอัมพัฏฐะที่นอกจากจะไม่ได้สูงส่งดังที่เข้าใจก่อนหน้านี้แล้ว ยังโจมตีดูหมิ่นว่าผู้อื่นต้อยต่ำกว่าตนอีก ทุกคนหมดความนับถืออัมพัฏฐมาณพลงในทันที

ขณะนั้น พระพุทธเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ทรงดำริว่า "มาณพเหล่านี้เหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพรุนแรงว่า เป็นลูกของหญิงรับใช้ ทางที่ดีเราควรช่วยปลดเปลื้อง" แล้วพระองค์จึงได้เล่าเรื่องราวของนายกัณหะต้นตระกูลองนายอัมพัฏฐะต่อจากนั้น ว่าได้บวชเป็นฤๅษี เรียนรู้พรหมมันตระ แล้วได้แสดงฤทธิ์ของตนต่อหน้าพระเจ้าโอกกากราช จนพระองค์เกรงกลัวยอมยกพระราชธิดา ทำให้พวกมาณพจึงหยุดเหยียดหยามนายอัมพัฏฐะ การดูหมิ่นเรื่องชนชั้นวรรณะจึงสงบลงในที่สุด

นี้เป็นตัวอย่างของพุทธลีลาในการสนทนาที่สามารถหยุดความทะเลาะขัดแย้งกันให้จบลงได้ เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความกรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งปวงของพระพุทธเจ้า แม้ว่าบุคคลนั้นจะคิดร้ายหมายทำลายพระองค์ ก็ไม่ทรงโต้ตอบด้วยการทำลายเขากลับ แต่ให้เกียรติในศักดิ์ศรีของคู่สนทนา ทำให้ไม่ต้องมีฝ่ายใดต้องเจ็บช้ำน้ำใจต่อกัน เป็นการจบเรื่องโดยชนะกันทั้งสองฝ่าย




เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้วพระพุทธเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป โปรดติดตามตอนต่อไปซึ่งเป็นตอนจบ.


อ้างอิง

อัมพัฏฐสูตร http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=09&A=1920&Z=2832

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้